วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหว่ยหล่าง ตอนที่ 9

ตอนที่ 9....ดวงตาเห็นธรรม
      ปุถุชนเป็นผู้หนาแน่นไปด้วยความไม่รู้จักตัวเอง ถ้ารู้ก็เป็นเพียงรูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น คนเหล่านี้จึงติดยึดอยู่แต่รูปลักษณ์และเห็นเป็นที่พึ่งอันแท้จริงยิ่งกว่าตนเอง จัดเป็นประเภทบัวใต้ดินเพราะถูกอารมณ์ครอบงำชีวิตเป็นไปตามอารมณ์ ส่วนผู้ที่รู้จักอารมณ์แต่ไม่อาจแก้ไขได้เป็นประเภทบัวเหนือดินยังเป็นเหยื่อของอารมณ์แห่งตนทำให้หลงได้ เพราะทำตามอารมณ์ปัญญาไม่มีอานุภาพ ผู้ที่สามารถแก้ไขอารมณ์ได้จึงจัดว่าเป็นบัวใต้น้ำได้รับคำชี้แนะก็สามารถพันจากภัยพิบัติแห่งตนได้ เพราะเป็นผู้ใช้ปัญญาแต่ยังข้องอยู่ในอารมณ์ สำหรับประเภทบัวเหนือน้ำรอรับอรุณคือผู้ที่เห็นธรรมญาณแห่งตน จัดเป็นผู้รู้จักหน้าตาดั้งเดิมโดยแท้เพียงได้ยินคำพูดหรือสะกิดเพียงนิดเดียวก็หลุดพ้นเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง เพราะดำรงชีวิตโดยใช้ปัญญาเหนืออารมณ์ท่านฮุ่ยเหนิงกว่าจะเดินทางมาถึงภูเขาต้าหยูก็ใช้เวลาถึงสองเดือน แต่ก็มีผู้ที่ปรารถนายื้อแย่งผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรติดตามมาไม่น้อย เพราะคนเหล่านั้นเข้าใจว่าใครที่สามารถครอบครองผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรก็ได้ชื่อว่าเป็น พระสังฆปริณายกในจำนวนผู้ติดตามลงมาทางใต้มีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อว่า ฮุ่ยหมิง เมื่อครั้งเป็นฆราวาสใช้แซ่สกุลว่า "เฉิน" เคยเป็นนายทหารยศนายพลมีกริยาหยาบคายและเต็มไปด้วยโทสะจริต แต่สะกดรอยเก่งที่สุดตามมาจนใกล้ท่านฮุ่ยเหนิง เมื่อจวนตัว ท่านฮุ่ยเหนิง จึงวางบาตรและจีวรลงบนก้อนหินแล้วประกาศว่า  "ผ้าผืนนี้เป็นเพียงเครื่องหมายเท่านั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่มายื้อเเย่งเอาด้วยกำลัง" ท่านฮุ่ยเหนิงจึงซ่อนตัว ภิกษุฮุ่ยหมิง พยายามยกบาตรและผ้ากาสาวพัสตร์ก็ยกไม่ขึ้นจึงร้องขึ้นว่า "น้องชาย น้องชาย ฉันมาเพื่อหาธรรมะ มิใช่มาเพื่อเอาผ้า" คำเรียกขานนี้เป็นพยานยืนยันว่าท่านฮุ่ยเหนิงซึ่งบรรลุธรรมแล้วยังมิได้อุปสมบทเป็นภิกษุครั้นออกจากที่ซ่อนนั่งลงบนก้อนหิน ภิกษุฮุ่ยหมิง ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า "น้องชาย ช่วยที ช่วยแสดงธรรมให้ฉันฟังหน่อย"  "เมื่อต้องการฟังธรรม จงระงับใจมิให้คิดถึงสิ่งใดๆ แล้วทำใจให้ว่างเปล่า เมื่อนั้น ข้าพเจ้าจะสอนท่าน" ท่านฮุ่ยเหนิงบอกแก่ภิกษุฮุ่ยหมิงต่อไปว่า "ท่านทำในใจมิให้คำนึงถึงสิ่งดีหรือสิ่งชั่ว ในเวลานั้นเป็นอะไรนั่นแหละธรรมชาติอันแท้จริงที่เรียกว่าหน้าตาดั้งเดิมของท่าน มิใช่ หรือ" ภิกษุฮุ่ยหมิงได้ฟังดังนั้นจิตใจก็สว่างไสวบรรลุธรรมในทันทีและถามว่า "นอกจากคำสอนอันเร้นลับที่พระสังฆปริณายกส่งมอบต่อๆกันมาแล้วยังมีคำสอนเร้นลับอีกบ้างไหม" "สิ่งที่ข้าพเจ้าสอนให้ท่าน มิใช่ข้อเร้นลับอะไรเลย แต่ถ้าท่านมองย้อนส่องเข้าข้างใน ท่านก็จะพบกับสิ่งเร้นลับซึ่งมีอยู่ในตัวท่านแล้ว" เมื่อท่านฮุ่ยเหนิงกล่าวเช่นดังนี้ ภิกษุฮุ่ยหมิงจึงกล่าวขึ้นว่า "แม้ฉันอย่ที่หวงเหมยมานานนมก็ไม่เห็นแจ้งในตัวธรรมชาติแท้ของตนเองเลย บัดนี้รู้สึกขอบคุณเหลือเกินในการชี้แนะของท่าน ฉันรู้สึกถึงสิ่งนั้นชัดเจนเสมือนคนที่ดื่มน้ำย่อมรู้แจ้งชัดว่า น้ำนั้นร้อนเย็นอย่างไร น้องชายเอ๋ย บัดนี้ท่านเป็นครูของฉันแล้ว" "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านกับข้าพเจ้าก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันของพระอาจารย์หงเหยิ่น ท่านจงคุ้มครองตัวเองให้ดีเถิด" เมื่อท่านฮุ่ยเหนิงกล่าวตอบดังนี้ ภิกษุฮุ่ยหมิงจึงถามว่าต่อจากนี้ไปควรจะไปทางไหน ท่านฮุ่ยเหนิงบอกว่า ให้หยุดอยู่ที่ตำบลเอวียนแล้วพำนักอยู่ที่ตำบลเหมิงจากนั้นก็ได้ทำความเคารพท่านฮุ่ยเหนิงแล้วจากกัน ภิกษุฮุ่ยหมิงได้ดวงตาเห็นธรรม มิได้เป็นรูปลักษณ์แห่งดอกบัวหรือพระพุทธรูปหรือแสงสว่างใดเลย
หากมองเห็นรูปลักษณ์ใดๆ ย่อมมิใช่ธรรมะอันเป็นหน้าตาดั้งเดิมของตนเอง ซึ่งหมายถึงธรรมญาณ เพราะฉะนั้นการเห็นธรรมะเป็นรูปลักษณ์ใดก็ตามล้วนมิใช่ดวงตาเป็นธรรม แต่เป็นการสร้างสรรค์ของจิตหลอกลวงให้ตนเองหลงใหลมืดมัวตลอดไป พระพุทธวจนะได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า "ธรรมะอันละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์" นักนั่งสมาธิวิปัสสนาทั้งปวงพยายามหลอกลวงหรือบังคับจิตของตนเองให้เห็นรูปลักษณ์ต่างๆ จึงเป็นที่หลอกลวงตนเองอย่างแท้จริงอย่างที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระนักปฏิบัติท่านได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการนั่งภาวนาแล้วเห็นพระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นนี้เป็นจริงหรือไม่ว่า"ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" ดวงตาเห็นธรรมที่แท้จริงจึงไม่ต้องเห็นอะไร เพราะธรรมญาณไม่มีรูปลักษณ์ให้เห็นได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น