วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหว่ยหล่าง ตอนที่ 19

ตอนที่ 19.... ครูที่แท้จริง
      ท่านขงจื๊อกล่าวว่า "สามคนเดินมาจักมีคนหนึ่งเป็นครูของเราได้" ความหมายอันแท้จริงมิได้หมายความแต่เพียงว่ามีคนสามคนเดินมาจริงๆ เท่านั้น แต่หมายถึงสภาวะแห่งการรู้จักธรรมญาณของตนนั่นแหละจึงเป็นครูที่แท้จริงของตนเองครูของตนเองจึงสามารถแยกแยะความดีความชั่วและตัดสินใจได้เองในกรณีที่ต้องที่ต้องเลือกเดินทางระหว่างสองแห่งความดีและชั่วเพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้ทูลถามพระพุทธองค์ว่าทรงโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นไปจากวัฏสงสารมากน้อยเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ตถาคตมิได้โปรดใครเลย"
ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้คือการยอมรับว่าทุกคนต่างมีปัญญาเป็นของตนเองและเป็นที่พึ่งที่แท้จริง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า
      "เมื่อครั้งที่พระสังฆปริณายกองค์ที่ห้าได้แสดงธรรมให้อาตมาฟัง ก็ได้เกิดความรู้แจ้งสว่างไสว ตรัสรู้ข้อธรรมะในทันทีที่ท่านพูดจบและทันใดนั้นเองก็ได้เห็นแจ้งประจักษ์ชัดในตัวธรรมชาติแท้ของ ตถตา" คำว่าตรัสรู้มิได้มีความหมายเพียง "รู้เอง" แต่เพียงอย่างเดียวแต่มีขอบเขตกว้างขวางไปถึงสภาวะแห่งความเป็นของ "ธรรมญาณ"  "รู้เอง" และ "เป็นเอง" จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้เลย หรือแม้แต่อิทธิพลการบังคับจากผู้อื่นแต่เป็นภาวะที่ตนเองเท่านั้นที่เข้าใจและเป็นไปตามธรรมชาติแห่ง "ตถตา" หรือ "ธรรมญาณ" นั่นเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงมีความมุ่งหมายโดยเฉพาะที่จะประกาศคำสอนแห่งนิกาย "ฉับพลัน" ต่อไป เพื่อที่ผู้ศึกษาจะได้ประสบกับโพธิและเห็นแจ้งชัดในตัวธรรมชาติแท้ของตนเอง ด้วยการอบรมจิตใจในวิปัสสนาภาวนา"การอบรมจิตให้เป็นวิปัสสนามิได้หมายถึงการนั่งหลับตาแล้วภาวนาถ้อยคำใดหรือกำหนดลมหายใจ การเคลื่อนไหวของร่างกายอาการเช่นนี้มิใช้ "วิปัสสนา" แต่เป็นเรื่องของการกำหนดรูปลักษณ์เพื่อหลอกจิตให้ติดพันอยู่กับร่างกายแต่เพียงสถานเดียวและหวังว่าการหลอกเช่นนี้จักทำให้จิตเกิดสภาวะหนึ่งเดียวอันเป็นปัญญาสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปมิได้
การทำงานของจิต ทที่อยู่ในสภาวะแห่งการตัดกิเลสที่ไหลเข้าออกทางอายตนะหก หู ตา จมูก ลิ้น กายใจ จึงถือเป็น "วิปัสสนา" อันจริงแท้และเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติเอง โดยไม่มีใครสามารถกระทำแทนได้เลย
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ถ้าไม่สามารถช่วยตัวเองให้เกิดความสว่างไสวได้ เขาจะได้ขอร้องต่อเพื่อนพุทธบริษัทผู้คงแก่เรียนและใจอารีซึ่งมีความรู้และความเข้าใจคำสั่งสอนของสำนักสูงให้ช่วยชี้หนทางอันถูกต้อง ผู้ที่ทำหน้าที่นำจูงผู้อื่นให้เห็นแจ้งใน "ธรรมญาณ" จึงอยู่ในตำแหน่งอันสูงสุดและสามารถที่จะนำเอาผู้ที่อยู่ในฝ่ายกุศลเข้าสู่ธรรรมะ หน้าที่อันแท้จริงของผู้คงแก่เรียนก็เป็นเพียงผู้ชี้หนทาง แต่การเดินทางเพื่อพบ "ธรรมญาณ" ยังเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องเดินด้วยตนเองไม่มีผู้ใดสามารถทำหน้าที่นั้นแทนได้เลย เพราะแต่ละคนล้วนมีปัญญาอันแท้จริงอยู่แล้ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจริงรับรองความจริงนี้ว่า "บรรดาปัญญาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคตรวมทั้งความรู้ที่เป็นหลักคำสอนในพระคัมภีร์ทั้งสิบสองหมวดล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในใจของเรามาแต่เดิมทั้งสิ้น"เป็นการรับรองคุณภาพของ "ธรรมญาณ" ของปุถุชนและพระอริยะเจ้าแท้ที่จริงเป็นอย่างเดียวกันไม่มีข้อแตกต่างกันเลย จึงมีแต่ผู้ที่เดินทางไปพบด้วยตนเองกับปุถุชนผู้ไม่ปรารถนาเดินทางไปค้นพบ "ธรรมญาณ" ของตน
 ดังนั้นผู้ที่ไม่สามารถปลุก "ธรรมญาณ" ของตนเองให้สว่างไสวขึ้นมาได้ก็เหมือนหนึ่งผู้ที่ไม่รู้หนทางจึงจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากผู้ที่รู้หนทางนั้น แต่สำหรับผู้ที่ตั้งต้นเดินทางด้วยตนเองโดยรู้หนทางนั้นย่อมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร เพราะเหตุนี้จึงเป็นความคิดที่ผิดที่ถือคติว่าถ้าปราศจากคำแนะนำของผู้คงแก่เรียนแล้ว เราไม่อาจพบวิมุติคือความสุขอันสูงสุดด้วยตนเอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะการบรรลุถึง "ธรรมญาณ" นั้นมันเป็นปัญญาภายในของเราเองต่างหากแต่ที่จะทำให้เกิดความสว่างไสวได้
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า
"ถึงแม้ความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกและคำพร่ำสอนของผู้คงแก่เรียน ก็ยังเป็นหมันไร้ประโยชน์ได้เหมือนกัน ถ้าเราทำไม่ถูกหลงงมงายเสียแล้วโดยคำสอนที่ผิดและความเห็นผิด เพราะฉะนั้นเราควรรู้จิตของเราด้วยปัญญาตัวจริง ความเห็นผิดทั้งมวลก็จะถูกเพิกถอนไปในขณะนั้น และในทันทีทันใดที่เรารู้จักตัว "ธรรมญาณ" เราย่อมบรรลุถึงสถานะแห่งความเป็นพุทธะทันใดนั้น"
คำแนะนำสั่งสอนจากภายนอกยังต้องใช้ปัญญาตัวจริงพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าเป็นคำแนะนำที่ถูกต้องหรือทำให้หลงงมงาย ปัญญาตัวจริงนั้นย่อมกำกับด้วย "สติ" ที่ทบทวนใคร่ครวญและทดลองปฏิบัติจนในที่สุดย่อมรู้ได้ด้วยตนเองว่า เป็นหนทางอันถูกถ้วนที่สมควรจะเดินต่อไปหรือหยุดเสีย ในโลกนี้ย่อมมีผู้ที่ศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่มากมายและหลาายคนยังติดยึดอยู่กับความเห็นผิดและพยายามชักจูงให้ผู้ปฏิบัติตามอย่างผิดๆ ด้วยการสำคัญตนผิดว่าตนเองบรรลุสู่ความเป็น "ครู" ของคนอื่นได้แล้วแท้ที่จริงแล้วไม่มีใครเป็นครูของใครได้เลย เพราะต่างมี "ครู" ของตนเองอยู่แล้ว       พระพุทธองค์จึงทรงเป็นบรมครูที่แท้จริงเพราะพระองค์มิได้ยึดถือว่าเป็น "ครู" ของใครเลย แต่กลับย้ำให้ทุกคนได้รูว่าตนเองเท่านั้นแหละที่เป็น "ครู" ของตนเองถ้าใครปฏิบัติตนเป็น "ครู" ของตนเองได้จึงจักได้ชื่อว่าพบ "ครูที่แท้จริง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น