วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหว่ยหล่าง ตอนที่ 36

ตอนที่ 36.... เงินบังโพธิปัญญา
      มนุษย์ผู้หนาแน่นไปด้วยความหลงจึงเชื่อว่า เงินคือพระเจ้าที่สามรถดลบันดาลทุกสิ่งอย่างให้เราได้ เพราะฉะนั้นจึงพากันหลงหาเงินจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรู้จักตัวเองสักนิดหนึ่ง
ผู้หลงเงินจึงทุ่มทั้งชีวิตเพื่อแสวงหาเงินตราโดยไม่เชื่อว่า เงินไม่อาจติดสินบนลดหย่อนโทษของตนในนรกได้เลย เงินยิ่งทำให้คนสร้างบาปเวรกรรมได้รวดเร็วและร้ายแรงจนประมาณไม่ได้
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "เงินคืองูพิษ"
      แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครเชื่อพระพุทธองค์ จึงทุ่มเทหาเงินเพื่อซื้อความสุข และเพิ่มพูนกิเลสจนกลายเป็นการทำร้ายตัวเองมากมาย และตกนรกหมกไหม้เพราะอำนาจของเงินตรานี่เอง
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงประทานพระวจนะเอาไว้ในโศลกหนึ่งว่า
" ในวันหนึ่งๆ ที่ชีวิตล่วงไป เราควรปฏิบัติความไม่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ เพราะพุทธภาวะ ไม่มีหวังที่จะได้มาจากการให้เงินเป็นทาน"
ความหมายที่แท้จริงเพื่อให้เราได้รู้ว่าการปฏิบัติให้ถึงซึ่งพุทธภาวะนั้นมิได้อาศัยเงินตราเป็นผู้ดลบันดาลแต่ประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีเงินตราล้วนแต่ถูกเงินตราหลอกล่อให้สูญเสียสภาวะแห่งความเป็นพุทธะกลายเป็น "อสุรกาย" เพราะเขาจักเป็นผู้ที่ทำบุญและมากไปด้วยอารมณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่มีนิสัย ยโสโอหังมมังการ ปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตนโดยสิ้นเชิง
บุญกริยาทั้งปวงจึงกลายเป็นอกุศลกรรม
      คนมีเงินมักทำบุญเพราะต้องการชื่อเสียง มีหน้ามีตาจึงเป็นผู้ที่เห็นปแก่ตัวและได้รับเสียงสอพลอจากผู้ที่นับถือเงินตราเป็นพระเจ้าเช่นเดียวกัน
ประการสำคัญผู้ที่มีเงินตราไม่ได้สำนึกว่า แท้ที่จริงแล้วเงินตราเหล่านี้ล้วนเป็นผลบุญที่ตนเองเคยสร้างมาเอาไว้ในอดีตชาติด้วยความนอบน้อมและศรัทธาแต่คนหลงเงินตราจึงกลายเป็นศัตรวุธประหารความศรัทธา และความนอบน้อมไปจนหมดสิ้นเพราะเขาเชื่อว่า สวรรค์วิมานสามารถใช้เงินตราซื้อมาได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นและผู้พ้นจากกองกิเลส อำนาจเงินตราดลบันดาลให้ได้
ผู้ที่ถูกอำนาจเงินตราครอบงำจึงเป็นเพียงผู้สร้างชื่อเสียงในหมู่คนเอาไว้เพียงชาตินี้เท่านั้น ชาติต่อไปจึงกลายเป็นผู้ยากจนเข็ญใจและโง่เขลาเบาปัญญา
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวเอาไว้ในโศลกว่า
"โพธิปัญญานั้น หาพบได้ภายในใจของเราเอง และไม่มีความจำเป็นเสาะแสวงหาความจริงอันเด็ดขาดของสัจธรรมจากภายนอก"
สัจธรรมล้วนอยู่ในใจของเราทุกคน แต่คนที่เห็นแก่ตัวและละโมบในบุญ จึงเป็นผู้ที่พ้นไปจากหนทางแห่งสัจธรรม เพราะเขาไม่ชอบปฏิบัติจิตเพื่อชำระล้างคราบไคลแห่งความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเพียรพยายามฝืนความเคยชินของกายสังขารซึ่งต้องชำระล้างด้วยตนเอง ไม่อาจใช้ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นแทนได้เลย
      เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากราชสมบัติพระองค์ได้สลัดตัดทิ้งทรัพย์สินเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งปวงโดยสิ้นเชิงและเผชิญหน้าต่อความยากลำบากด้วยพระองค์เองเพื่อฝึกฝนกำหราบความเคยชินของความสุขสบายทั้งปวง
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงมีแต่กายสังขารที่ห่อหุ้มด้วยผ้าห่อศพและมีผืนดินโคลนต้นไม้เป็นที่อาศัยพักพิงจึงเป็นผู้ที่ยากจนเข็ญใจที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระองค์ประสงค์แสวงหาหนทางแห่งจิต มิได้ต้องการอาศัยหนทางแห่งกายสังขารเพื่อเสพสุข
หนทางแห่งกายและจิต สวนทางกันเสมอ
กายมีความสุขสบายจิตใจตกต่ำและลุ่มหลง
แต่จิตใจสูงส่งขึ้นเมื่อไร กายย่อมไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยปัจจัยต่างๆ อีกต่อไป
      เมื่อพระองค์ทรงค้นพบ "ธรรมญาณ" พระวรกายย่อมสดใสและพ้นไปจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง พระธรรมญาณ ควบคุมกายสังขาร
หนทางแห่งการบำเพ็ญของพระพุทธองค์จึงกล่าวได้ว่าพระองค์อาศัยพระวรกายบำเพ็ญเพื่อค้นหาหนทางแห่ง "ธรรมญาณ" แต่บรรดาผู้ที่หลงใหลต่อทรัพย์สินทั้งปวงล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในอำนาจของความโลภ ความหลง ความโกรธ อย่างเอกอุ เพราะปรนเปรอความสุขให้แก่กายจึงทำให้สภาวะแห่ง "พุทธะ" หายไปจาก ธรรมญาณ
ความสุขสบายของกายจึงกลายเป็นอุปสรรคที่ไม่อาจค้นพบ "ธรรมญาณ" ได้เลย
      ในคัมภีร์ใบเบิลแห่งศาสนาคริสต์ ในมัดธาย บทที่ 24 ได้กล่าวเอาไว้ว่า
"ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของคนแบกตามเรามา...ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด"
การเอาชนะตนเองจึงเป็นเรื่องที่ต้องฝืนต่อความเคยชินของกายสังขาารโดยแท้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่บรรพกาลมาแล้ว ผู้บำเพ็ญล้วนเป็นผู้ที่ต้องละทิ้งเครื่องผูกมัดของทรัพย์สินทั้งปวงจึงจักพบพุทธภาวะของตนเอง
แต่การแสวงหาหนทางเช่นนี้ย่อมยากลำบากนัก ส่วนอาศัยเงินตราสร้างบุญ จึงเป็นเรื่องง่ายดายเพราะฉะนั้นผู้ที่แสวงหาแต่หนทางแห่งความง่ายจึงหลงใหลต่อทรัพย์สมบัติทั้งปวงและเชื่อว่าการทำบุญด้วยเงินมหาศาลย่อมนำพาจิตญาณของตนเข้าสู่พุทธภูมิได้
ถ้าความจริงเป็นเช่นนี้ฟ้าดินย่อมไร้สัจธรรมเพราะคนรวยย่อมขึ้นสวรรค์ตลอดกาล คนจนย่อมตกนรกไม่สิ้นสุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น