วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหว่ยหล่าง ตอนที่ 7

ตอนที่ 7.... ต้นธาตุ ต้นธรรม
      มนุษย์มีความสับสนเพราะไม่รู้จักตัวเองอย่างชัดเจนว่าประกอบไปด้วยตัวปลอมและตัวจริง”  
ตัวปลอมมองเห็นได้ มีต้นกำเนิดมาจากพ่อแม่ และเสื่อมไปตามสภาพจึงตกอยู่ในกฎของอนิจจัง ดังนั้นจึงมีวันเกิดและวันตายที่สุดจึงเปลี่ยนแปลงเป็น ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีโอกาสเวียนว่ายตายเกิด
ส่วนตัวจริงมีต้นกำเนิดมาจากอนุตตรภาวะคือ ความว่างอันไร้ขอบเขตจึงไม่ตกอยู่ในเขตของนิจจัง ดังนั้น จึงไม่มีวันเกิดและวันตายแต่กลับมีโอกาส เวียนว่ายตายเกิดตามเหตุปัจจัย
 มนุษย์รู้จักยึดถือแต่ตัวปลอมว่าเป็นตัวจริงจึงปฏิบัติต่อตัวปลอมด้วยวิธีผิดๆ จนกลายเป็นเวรกรรมผิด ต่อสัจธรรมของฟ้าดินและในที่สุดตัวจริงต้องเวียนว่ายไปในวัฏสงสารจนกว่าจะรู้จักตัวจริง
ท่านฮุ่ยเหนิงรู้จักตัวจริงและได้รับการปลดปล่อยโดยพระอาจารย์หงเหยิ่น ได้ชี้ตรงไปที่ประตูของ ตัวจริงนั้น ท่านจริงอุทานขึ้นต่อหน้าพระอาจารย์หงเหยิ่นว่าใครจะไปคิดว่า ธรรมญาณ เป็นของบริสุทธิ์เหนือความบริสุทธิ์ใดๆใครจะไปคิดว่า ธรรมญาณ เป็นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของการเกิดและดับสูญอย่างแท้จริง ใครจะไปคิดว่า ธรรมญาณ เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวเองอย่างแท้จริง ใครจะไปคิดว่า ธรรมญาณ อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์แห่งความเปลี่ยนแปลงใครจะไปคิดว่าสรรพสิ่งที่ปรากฎออกมานี้ล้วนมาจาก ธรรมญาณ
 ตัวจริงคือ ธรรมญาณที่อาศัยอยู่ใน ตัวปลอมมีสภาวะเป็น อสังขตธรรมไร้การปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น จึงมิอาจเอากฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขใดๆ ไปกำหนดได้เลย และสรรพสิ่งมิอาจเข้าไปมีอิทธิพลบ่งการใดๆ ไม่มีสิ่งใดเพิ่ม ขึ้นหรือลดลงด้วยสภาพเช่นนี้เอง ธรรมญาณจึงเป็นต้นธาตุ ต้นธรรม อันแท้จริง
พระอาจารย์หงเหยิ่น รู้ว่าท่านฮุ่ยเหนิงบรรลุถึงความรู้แจ้งในธรรมญาณ จึงกล่าวว่าผู้ที่ไม่รู้จักธรรมญาณของตนจึงป่วยการศึกษาศาสนาพุทธแต่ถ้าใครรู้จักธรรมญาณและเห็นด้วยปัญญาอย่างซึม ซาบว่าคืออะไรแล้วบุคคลผู้นั้นคือ วีรมนุษย์ เป็นครูของมนุษย์ เทวดาได้ และเขาคือ พุทธะความเป็น พุทธะคือผู้รู้ทุกข์ รู้สุข และเห็นความสิ้นสุดทั้งทุกข์และสุข จึงเปรียบเช่นคนที่ตื่นจากความหลับ ไหล ดังนั้นจึงเป็นผู้เบิกบานอันแท้จริง ในครั้งนั้นท่านฮุ่ยเหนิง จึงได้รับมอบบาตรและจีวรอันเป็นเครื่องหมายแห่งการเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่ หก และพระอาจารย์หงเหยิ่น กำชับให้ช่วยสอนมนุษย์สืบอายุคำสอน อย่าให้ขาดตอนพร้อมทั้งให้โศลกไว้บทหนึ่งว่า  “สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด เราหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการตรัสรู้ลงในเนื้อนาด้วยอำนาจของเหตุผล จะเก็บเกี่ยวผล ไปจนถึงพุทธภูมิ ส่วนวัตถุมิใช่สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด เป็นสิ่งว่างเปล่าตามธรรมชาติแห่งพุทธะย่อมไม่หว่านพืชพันธุ์ ดังนั้นจึง ไม่หวังที่จะเก็บเกี่ยวเลยการกำหนดแนวทางแห่งการเผยแผ่ไว้ดังนี้ก็เพราะเล็งเห็นว่าอนุตตรธรรมล้วนเป็นเรื่องของการใช้สติปัญญาทั้ง นั้น และไร้รูปลักษณ์ใดๆ มนุษย์รู้ได้และปฏิบัติให้ถึงซึ่งการตรัสรู้เยี่ยงเดียวกับพระพุทธองค์เพราะพระพุทธเจ้ามีสภาพ เช่นเดียยวกับมนุษย์ มีข้อแตกต่างกันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือการใช้สติปัญญาและเหตุผลเพื่อค้นหา ตัวจริงพระอาจารย์หงเหยิ่น กล่าวถึงสัญลักษณ์การส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์ว่า
ในครั้งที่พระโพธิธรรมาถึงเมืองจีน ไม่มีใครเชื่อถือ ผ้ากาสาวพัสตร์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ส่งมอบจากพระสังฆ ปริณายก องค์หนึ่งสู่อีกองค์หนึ่ง ส่วนธรรมะก็ส่งมอบจากจิตสู่จิต ซึ่งไม่เกี่ยวกับคัมภีร์ใดๆ ผู้รับมอบธรรมะ จักต้อง เป็นผู้ที่เห็นแจ้งในธรรมะด้วยความพยายามของตนเอง จึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่อดีตกาล ที่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จะมอบหัวใจแห่งคำสอนของพระองค์แก่ผู้ที่จะสืบอายุ พระพุทธศาสนาต่อไปคำกล่าวของพระอาจารย์หงเหยิ่นได้ยืนยันให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่าหัวใจของธรรมะย่อมไม่เกี่ยว พันกับตำราหรือธรรมะที่ผู้นั้นปฏิบัติอยู่ เปรียบเสมือน บาตร กับจีวร เป็นเพียงตัวแทนของธรรมะ แต่มิใช่ธรรมะอัน แท้จริง การถ่ายทอด หัวใจแห่งธรรมะสูงสุดจึงไม่อาจบัญญัติเป็นตำราใดๆ ได้เลย แต่อยู่ที่จิตใจของผู้นั้นรู้แจ้งเป็น ธรรมะของตนเองเสียก่อน จึงสามารถปลดปล่อยธรรมญาณให้หลุดพ้นไปจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงได้ เมื่อสภาวะแห่งธรรมญาณเป็นอิสระแท้จริงแล้ว การรู้ถึง หัวใจแห่งธรรมะ จึงกลายเป็นอนุตตรภาพที่หา ขอบเขตมิได้ ดังคำกล่าว ของพระอริยะเจ้าว่า  อ่านจนเจนจบแปดหมื่นสี่พันคัมภีร์สาส์น สู้พระวิสุทธิอาจารย์ประทานหนึ่งจุดมิได้เมื่อรู้หนึ่งแล้วจึงรู้ไปถึงหมื่นแสน บาตร กับ จีวร จึงสิ้นสุดการเป็นสัญลักษณ์ของการส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์เพียงแค่ท่านฮุ่ยเหนิง แต่ หัวใจของธรรมะ จิตสู่จิต ยังส่งมอบต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันกาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น