วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหว่ยหล่าง ตอนที่ 38

ตอนที่ 38.... หลงสุขจึงไม่เห็นทุกข์
      ทางแห่งความหลงมีหลายแยกแต่ละทางแยกยังมีทางแยกออกไปอีกหลายสาย จนคนหลงทางมองไม่เห็นถึงความหลงนั้นและเดินไปด้วยคิดว่าเป็นหนทางแห่งความถูกต้องเพราะตรงกับจริตของตนเอง ทางเช่นนี้จึงสมควรเรียกว่า "ทางแห่งอวิชชา" เพราะเป็นความไม่รู้ที่แท้จริง กล่าวคือไม่รู้ว่าตนเองยังหลงอยู่
สมาธิที่ทำให้ผู้ลุ่มหลงทั้งหลายต้องจ่ายเงินตราให้แก่ผู้แสวงหาลาภสรรเสริญมากมายจนกลายเป็น "สมาธิพาณิชย์" ที่ทำกำไรมหาศาลยิ่งกว่ากิจการค้าใดๆ ในโลกนี้
มีหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เข้าฌาณสมาบัติถอดจิตไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้แล้วยังพาผู้อื่นขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์ ได้อีกด้วยจึงกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมีผู้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ มากมาย
เงินทองจึงเดินสะพัด
      "โยมเงินทองมิได้ช่วยให้ไปถึงนิพพาน ใส่ไว้ทำไมให้จิตใจลุ่มหลงมัวเมา ผู้ที่ถอดได้คือ ผู้ที่ตัดได้ จึงได้ชื่อเป็นผู้ละวางความลุ่มหลงลงไปได้ เอ้าถอดสายสร้อย แหวน ใส่ลงไปในบาตรของอาตมาแล้วจะปลุกเสกให้กลายเป็น อริยะทรัพย์ฝากไว้ในพระพุทธศาสนา"
ญาติโยมฟังจนเพลินและไพเราะหนักหนาต่างพากันถอดทรัพย์สินใส่ลงไปในบาตรทั้งหมด โดยหวังว่าเมื่อปลดระวางทรัพย์ทั้งหลายลงไปแล้วจิตใจจักได้เบาสบายและสามารถเกาะจีวรหลวงพ่อขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์ได้
ญาติโยมถอดแก้วแหวนเงินทอง แต่หลวงพ่อกลับไปติดที่โบสถ์สวยงามดังวิมานบนชั้นฟ้า ทังหลวงพ่อและโยมจึงกลายเป็นผู้ติดความสุขไปโดยไม่รู้ตัว
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า
"สำหรับบุคคลที่ลิ้นของเขาพูดได้ไพเราะ แต่ใจของเขาไม่สะอาดสมาธิและปัญญาไม่มีประโยชน์อะไรแก่เขา เพราะสมาธิและปัญญาของเขาไม่มีทางสมดุลย์หรือสัมพันธ์กันได้เลย ส่วนอีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามคือถ้าดีทั้งใจและดีทั้งถ้อยคำที่พูดทั้งกริยาอาการภายนอกกับความรู้สึกในใจประสานกลมกลืนกันแล้วนั่นแหละ คือกรณีสมาธิและปัญญาได้สัมพันธ์กันอย่างสมดุลย์"
ความหมายแห่งพระวจนะนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงที่ชัดเจนว่า
สมาธิและปัญญา แม้เป็นของอย่างเดียวกัน แต่การสำแดงออกมาถ้าปราศจากสมาธิควบคุม ก็อวดอ้างว่าตนเองสำเร็จบรรลุธรรมพ้นไปจาก โลภ โกรธ หลง แล้ว เขาเหล่านี้จึงกลายเป็น โมฆะบุรุษ คือ ผู้มาเปล่าและกลับไปเปล่านั่นเอง
ส่วนผู้ที่สามารถทำให้ภายนอกและภายในจิตใจของตนเองมีความสมดุลย์กัน เพราะ สติ เป็นกำลังสำคัญ สมาธิจึงสำแดงปัญญาออกมาต่อสัจธรรมแห่งธรรมญาณซึ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แม้ผู้นั้นบรรลุถึง ธรรมญาณเดิม ของตนแล้วจึงมิใช่ผู้ที่จะมาอวดอ้างยกตนเหนือผู้อื่นว่า พ้นไปแล้วจากโลกียกรรมทั้งปวง
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้อรรถาธิบายว่า "การโต้แย้งจึงไม่เกิดขึ้นแก่นักศึกษาผู้ที่มีความสว่างไสวแล้ว แต่ถ้ายังโต้แย้งถกเถียงกันว่า ปัญญาเกิดก่อน หรือสมาธิเกิดก่อนนนั่นแหละจะทำให้ผู้นั้นตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกับคนที่ถูกอวิชชาครอบงำเพราะการเถียงกันย่อมหมายถึงความดิ้นรนจะเป็นฝ่านชนะย่อมเสรมกำลังให้แก่ความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน และย่อมผูกพันเราไว้กับความยึดถือ ด้วยความสำคัญว่าตัวตนว่าสัตว์ ว่าชีวะ ว่าบุคคล" เพราะเหตุนี้เองใครที่อวดอ้างว่าตัวเองสำเร็จธรรม และเห็นผู้อื่นไม่สำเร็จธรรม คนผู้นั้นจึงเป็นผู้โง่เขลาที่แท้จริง และแบ่งแยกดูถูกคนทั้งปวง "อรหันต์" ตั้งตัว และลูกศิษย์ตั้ง จึงกลายเป็น "อรหันต์จับฉ่าย" ไปด้วยประการเช่นนี้ เพราะทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างยังตกอยู่ในวังวนของ "อวิชชา"
ความไม่รู้ของผู้สนใจศึกษาธรรมะและหลงติดใน สมาธิจึงไม่รู้ถึงความเป็นจริงระหว่างสมาธิกับปัญญาว่ามีลักษณะเป็นเช่นใด
      พระสังฆปริณายกฮุ่ยเหนิงได้เปรียบเทียบเอาไว้อย่างน่าสนใจและชัดเจนว่า
"สมาธิและปัญญานั้น ควรเปรียบเทียบกับอะไรดีเล่า ธรรมะ สองชื่อนี้ควรเปรียบกับตะเกียงและแสงของมันเอง มีคะเกียง ก็มีแสงไม่มีตะเกียง มันก็มืด ตะเกียงนั่นแหละคือตัวการแท้ของแสงสว่างและแสงสว่างเป็นแต่สิ่งซึ่งแสดงออกของตะเกียงโดยชื่อฟังดูเป็นสองอย่างแต่โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นของอย่างเดียว และเป็นทั้งของอย่างเดียวกันด้วย กรณีเช่นนี้แหละเปรียบได้กับ สมาธิปัญญา"
ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิจึงตกอยู่ในภาวะสองอย่าง คือ หลงติดกับตัวตะเกียงหรือแสงสว่างของตะเกียง ถ้าเฝ้าดูเพลิดเพลินไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งจึงเป็นผู้ติด
ธรรมดาเมื่อตะเกียงจุดแสงสว่างย่อมนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่องทางแต่บัดนี้บรรดาผู้ปฏิบัติสมาธิขั้นหลงลมอาจารย์หรือหลงสมาธิต่างมีความสุขเพลิดเพลินไปกับแสงสว่างบ้าง ความนิ่งบ้าง จนลืมความทุกข์ที่แท้จริงของชีวิตอันเป็นวิบากกรรมที่ตนเองสร้างเอาไว้
คนหลงเหล่านี้เชื่อว่าการพ้นหนี้เวรกรรมของตน ใช้สมาธิเป็นหนทางหนีรอดได้ ถ้าความสุขทำได้ง่ายเช่นนี้ กฎแห่งกรรมก็มิใช่สัจธรรมอีกต่อไป
ทำร้ายชีวิตอื่นอย่างทารุณก็สามารถนั่งสมาธิหนีหนี้ได้สบายมากจริงไหม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น